วันนี้แต่เช้าดันไปเหวี่ยงน้องที่ทำงานคนหนึ่งเข้า โชคดีที่เขาเคืองใส่เรานะ เลยไหวตัวทัน(อย่างนี้ทุกที เวลาทำไปแล้ว เ -ื อกไม่ทันคิด แต่พอหลังเหตุการณ์แล้ว กรูอธิบายเป็นทฤษฎีได้ทุกที) เลยรีบตามไปเคลียร์ตั้งแต่บ่ายๆ(น่าจะเรียกว่าไปง้อมากกว่า) แต่ไม่รู้น้องมันจะหายโกรธยัง พอดีมีเหตุให้วันนี้จำเป็นต้องร่วมงานกับน้องคนนั้นถึงเกือบสองทุ่ม(55 ฟ้าเป็นใจ) รู้สึกว่าพลังงานบางอย่างบอกว่าเราน่าจะง้อสำเร็จแล้ว(ปล.อาจเข้าข้างตัวเองเดี๋ยวพรุ่งนี้เช็คใหม่) พอดีเสร็จงานแล้วตอนนั่งรถเมล์กลับบ้านลองเอา Theory U มาอ่านเรื่องการฟัง 4 ระดับ ก็พบเลยว่า ระดับการตระหนักรู้ในการฟังของตัวเราในกรณีนี้อยู่ในระดับล่างสุดเลยทีเดียว(ขั้นนี้ชื่อว่าขั้น downloading แต่บางสำนักมีคำอื่นที่น่าจะความหมายเดียวกัน เช่น default และ อัตโนมัติ)
ภาคทฤษฎี จากการที่ Otto Scharmer เฝ้าสังเกตว่าผู้คนเขามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรในองค์กรมากว่าทศวรรษ ทำให้เขาแบ่งการฟังมาได้ 4 ระดับ คือ การฟังระดับที่1 Downloading (บางท่านแปลว่า การรับฟังแบบน้ำเต็มแก้ว) "ใช่ ผมรู้หมดแล้ว" เป็นการฟังเพื่อยืนยันกับวงจรเดิมๆของเราเอง(listening by reconfirming habitual judgements) เมื่อคุณอยู่ในสภาวะที่คุณฟังอะไรมาก็เป็นสิ่งที่คุณรู้ไปซะหมดอยู่แล้ว นั่นคือคุณอยู่ในขั้น downloading นี้ (ขั้นนี้เรียกอีกชื่อว่า "I-in-Me") การฟังระดับที่2 Factual (ตามข้อเท็จจริง หรือบางท่านแปลว่า การรับฟังแบบเอะใจ) "อืม ลองพิจารณาดูซิ" การฟังประเภทนี้เป็นการฟังไปที่ข้อเท็จจริงและเน้นไปที่วัตถุ(object-focused) ฟังโดยใส่ใจไปที่ข้อเท็จจริง ไปที่เรื่องราว หรือข้อมูลใหม่ การฟังแบบนี้ข้อดีคือคุณจะปิดเสียงตัดสินของคุณเองได้ และฟังสิ่งที่อยู่ต่อหน้าโดยสนใจว่ามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากสิ่งที่คุณเคยรู้มาก่อนหน้า การฟังแบบนี้เป็นพื้นฐานที่ดีของวิทยาศาสตร์ นั่นคือการที่คุณให้ข้อมูลได้พูดกับคุณโดยตรง แล้วคุณก็ตั้งคำถาม และคุณก็จะระมัดระวังในการจะตอบสนองเรื่องราวใดๆ ออกไป (ขั้นนี้เรียกอีกชื่อว่า "I-in-It") การฟังระดับที่3 Empathetic (ฟังจากมุมมองของผู้อื่น หรือบางท่านแปลว่า การฟังด้วยความเข้าอกเข้าใจ) "ใช่ๆ ฉันรู้แล้วว่าคุณรู้สึกยังไง" เมื่อเราใส่ใจในบทสนทนาอย่างยิ่งยวดแล้วเราจะสามารถปรับตัวเองจากโลกของวัตถุ รูปลักษณ์ภายนอก หรือข้อเท็จจริง ไปสู่การสดับฟังในเรื่องราวของตัวตนมีชีวิตที่วิวัฒน์ไปเป็นอะไรก็ได้ เมื่อเราสามารถที่จะรู้สึกถึงความรู้สึกของอีกคนหนึ่งได้แล้ว นั่นคือเมื่อเราได้เปิดใจ(open heart) และมีแค่เพียงการเปิดใจเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถเข้าไปเชื่อมโยง(connnect)กับคนอื่นจากภายใน(from within)ได้อย่างเข้าอกเข้าใจ และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว เราจะเข้าไปสู่ดินแดนใหม่ในความสัมพันธ์ เราจะลืมวาระส่วนตัวอันคับแคบของเราเอง และเริ่มมองโลกจากสายตาของผู้อื่นได้ (ขั้นนี้เรียกอีกชื่อว่า "I-in-You") การฟังระดับที่4 Generative (ฟังเพื่อการก่อกำเนิด หรือบางท่านแปลว่า การฟังด้วยปัญญาจากภายใน) "ฉันไม่สามารถอธิบายประสบการณ์ที่พบเจอมาเป็นคำพูดได้ ทุกอย่างในตัวฉันเหมือนจะช้าลง ฉันรู้สึกเงียบสงบ เป็นปัจจุบัน และเป็นตัวตนที่แท้จริงมากขึ้น(more my real self) ฉันเชื่อมโยงถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวฉันเอง" การฟังแบบนี้เป็นการเคลื่อนขึ้นไปเหนือสนามพลังทั่วๆไปและเชื่อมต่อตัวเราลึกเข้าไปในดินแดนแห่งการก่อเกิด (realm of emergence) การฟังแบบนี้เรียกได้อีกว่า การฟังจากสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ในอนาคต(listening from the emerging field of future possibility) การฟังในระดับนี้เพียงเปิดใจอย่างเดียวไม่พอต้องเปิดเจตจำนง(open will)ด้วย ซึ่งนั่นคือความสามารถที่จะเชื่อมโยงกับความเป็นไปได้ต่างๆในอนาคตที่จะก่อเกิดขึ้น เราไม่ได้มองหามันจากภายนอก เราไม่เพียงแค่เข้าอกเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้า แต่เราจะไปอยู่ในสภาวะพิเศษ(altered state) คำว่า "Communion" หรือ คำว่า"Grace" จะกลายเป็นคำที่ใกล้เข้ามาสู่พื้นที่ของประสบการณ์นี้ เมื่อการฟังของเราอยู่ในขั้นนี้แล้ว เมื่อเราจบบทสนทนาลง เราก็มิอาจกลลับไปเป็นคนเดิมก่อนหน้าที่บทสนทนาจะเริ่มต้นได้อีก (ขั้นนี้เรียกอีกชื่อว่า "I-in-Now") ที่มา http://www.ottoscharmer.com/publications/executive-summaries หน้า3-4 http://www.iedp.com/Theory_U_-_and_Presencing
0 Comments
Leave a Reply. |