เรื่องราวของ Process Work ตามช่วงชีวิตของ Arnold Mindell
หนังสือเรื่อง A Path Made by Walking เขียนโดย Julie Diamond และ Lee Spark Jones ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Mindell ในบทแรกหนังสือพูดถึง Process Work ว่ามันถูกพัฒนาผ่านช่วงชีวิตต่างๆ ของ Mindell อย่างไรบ้าง เลยจะขอลำดับเรื่องราวไว้ดังนี้ - ปี 1961 Mindell จบฟิสิกส์จาก MIT และมาที่ เมืองซูริคเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ แต่เนื่องจากเขาฝันร้ายจึงเข้ารับการบำบัดกับ Marie Louise von Franz ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ คาร์ล จุง และจากการที่เขาหลงเสน่ห์ในเรื่องความฝันเขาจึงเปลี่ยนอาชีพจากนักฟิสิกส์เป็นนักจิตวิทยาแทน โดยเข้าศึกษาที่ Jung Institute - เขาทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องของ Synchronicity (Theory of Nonlocal Connection) และเขาก็ได้กลายเป็นนักวิเคราะห์ความฝันผู้ชำนาญการ แต่สิ่งที่เขาสนใจคือเรื่อง Unconscious ว่าจะพัฒนาการทำงานกับ Unconscious อย่างไรในแนวทางที่จับต้องได้จริง - จากปัญหาสุขภาพส่วนตัวทำให้เขาศึกษาครอบคลุมในเรื่องของ สุขภาพ โรค การแพทย์แผนปัจจุบันและแผนทางเลือก และ Bodywork จนมันทำให้เขาพบความเชื่อมโยงว่าอาการทางร่างกายนั้นมันเหมือนกับความฝัน คือทั้งสองอย่างมันมีความหมายหรือเป้าหมายบางอย่างอยู่ด้วย และนี่คือที่มาของแนวคิดเรื่อง "Dreambody" และเป็นชื่อหนังสือเล่มแรกของเขาด้วยที่ตีพิมพ์ในปี 1982 และอีกไม่กี่ปีหลังจากที่หนังสือตีพิมพ์แล้วเขาได้บรรยายในกลุ่มผู้ศึกษางานของจุง โดยตั้งชื่อหัวข้อบรรยายว่า "จิตวิทยาสายจุงมีลูกสาวแล้ว" - งานด้าน Dreambodywork ก้าวกระโดดอย่างมากเมื่อเขาออกแบบ Signal-based Method ในการ Follow the process (Flow of Experience) ขึ้นมาโดยผ่านทาง Multiple Channel ซึ่งทำให้กระบวนการ Dreambodywork เป็นได้มากกว่า การ Talk Therapy โดยเอา การเคลื่อนไหว งานภายใน ความสัมพันธ์ และกระบวนการกลุ่ม เข้ามาไว้ด้วยกัน - หลังจากหลายปีที่เขาศึกษาในเรื่องอาการทางร่างกาย (Body Symptom) และความฝัน เขาได้ขยายวงของ Dreambodywork ไปยังทุกๆ ปัญหาของมวลมนุษยชาติ งานของเขาจึงถูกรู้จักในนามของ "Process-oriented Psychology" โดยเป็นการเคลื่อนจากความเชื่อมโยงของความฝันและร่างกาย ไปสู่แนวคิดเรื่อง "Dreaming Process" - ตั้งแต่ปี 1982 ได้มีการก่อตั้ง Research Society for Process-Oriented Psychology (RS-POP) ซึ่งมีการทำงานทั้งในเรื่อง ความสัมพันธ์ พลังกลุ่ม ตำแหน่งทางสังคมและอำนาจ(Rank and Power) รวมถึงการทำงานกับองค์กร - Process-oriented Psychology ได้ถูกนำไปใช้ในหน่วยงานด้านบริการสังคมในเมืองและรอบๆเมืองซูริค ร่วมกับหนังสือเล่มแรกของเขาได้มีผู้อ่านมากขึ้นทำให้ผู้คนจากทั่วโลกมาศึกษา Process Work กันที่ซูริค ในช่วงนี้เองที่เขาฝันว่าโลกทั้งโลกคือผู้ป่วยของเขา รวมทั้งในช่วงนี้เขาได้พัฒนาแนวคิดสำคัญสามเรื่องได้แก่ 1. City Shadow หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขาทำงานกับหน่วยงานด้านสุขภาพจิตในเมือง Duebendorf ในช่วงกลางทศวรรษ 1980s ซึ่งเป็นการนำ Process Work ไปใช้กับผู้ป่วยจิตเวช และแทนที่จะเรียกผู้ป่วยว่า "โรคจิต" เขาจะเรียกว่า "Extreme state" แทน ซึ่งเป็นการสะท้อนสิ่งที่เขาสังเกตว่าคุณค่าและมาตรฐาน(value and norm) ทางสังคมเป็นตัวพิจารณาว่าสภาวะไหนที่เรียกว่าปกติหรือผิดปกติ ดังนั้นแนวทาง City Shadow ของเขาจะค้นหาคุณค่าและความหมายในสภาวะเหล่านี้ เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า อาการโคม่า หรืออาการติดยา เพื่อหาที่ทางให้คนเหล่านี้ทำอะไรได้บ้าง และลดการรบกวนทั้งตัวของเขาเองและสังคม 2. อภิทักษะ (Metaskills หรือ Feeling Attitude) ได้ถูกพัฒนาหลังจากที่เขาได้รับการเชิญชวนให้ไปร่วมงานที่ The Esalen Institute ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งที่นี่่สนใจในด้านจิตบำบัด (Psychotherapy) และการเติบโตภายใน (Personal Growth) ที่แห่งนี้ทำให้ Amy Mindell ภรรยาของเขาศึกษางานของเขาอย่างลงลึกในรายละเอียดในแง่ของจิตวิญญาณและอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังเทคนิควิธีของ Process Work และวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอได้ถูกพิมพ์ออกมาในชื่อหนังสือ "Metaskills: The Spiritual Art of Therapy" 3. Worldwork หลังจากที่เขาสอนในอเมริกาหลายปี พวกเขา(The Mindells and Many of their Colleagues) ได้ย้ายไปที่ Portland, Oregon เพื่อก่อตั้งสถาบันฝึกอบรมและวิจัย พร้อมๆ กับความตั้งใจที่จะนำ Process Work ไปใช้แก้ปัญหาสังคม เขาได้นำแนวคิด Process Work ไปใช้กับการทำงานกลุ่ม โดยหนังสือเล่มแรกในแนวทางนี้คือ The Year 1: Global Process Work with Planetary Tension ซึ่งเป็นการใช้ "Group Process" ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง รวมทั้งใช้แนวคิดเรื่อง "Deep Democracy" เพื่อให้ทุกเสียงในสังคมได้ถูกรับฟัง แม้เสียงนั้นจะเงียบงันมาเป็นเวลานาน หรือแม้เสียงนั้นถูกมองว่าเป็นผู้ก่อกวนก็ตาม นอกจากนี้เขายังได้พูดถึงมิติของอำนาจและตำแหน่งทางสังคมที่ซ้อนกันอยู่ ทั้ง Psychological and Spiritual Rank (ความมั่นคงภายใน เช่น Self-esteem, ease in conflict, spiritual belief) และ Socio-culture Status (มีพื้นฐานมาจากสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัตถุทางโลก) - ตั้งแต่ทศวรรษ 1990s เขาได้ขยายทฤษฎีของเขาจากเรื่องความฝันเป็น "Dream-like Reality" ซึ่งมันครอบคลุมไปในทุกเรื่อง โดยแบ่งความจริงเป็นสองระดับคือ Consensus Reality (เป็นเรื่องของเวลาและพื้นที่ ที่รับรู้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน ที่คนทั่วไปยอมรับว่ามันคือความจริง) และ Dreamland (เป็นโลกของความฝัน Projection ความรู้สึก แฟนตาซี และความชอบ) - Sentient Psychology เขาได้หลอมรวมงานด้านจิตวิทยาและฟิสิกส์ โดยเรียกว่า "Quantum Mind" และจากแนวคิดนี้เขาได้พัฒนางานด้านการรับรู้ความรู้สึก (Satient Work) คือ Dreamwork, Bodywork และ Worldwork ซึ่งแนวคิดด้าน Sentient Approach นี้ได้เปลี่ยนบริบท (Paradigm Shift) ของจิตวิทยาตะวันตกที่เน้นในเรื่องตัวเอง (Personality Development, Behavioral Problem, Develop Sense of Identity) มาเป็นการให้ลดละการนึกถึงตัวเองลง แต่ให้มาตระหนักรู้ถึงว่าสิ่งไหนที่ทำให้เราแบ่งแยกออกจาก "ผู้อื่น" รวมทั้งพัฒนาให้เรามีลักษณะที่สามารถเคลื่อนตัว (Fluid) และมีหลากหลายมุมมอง (Multifaceted) ได้ เมื่อ Mindell อธิบายเรื่อง Deep Democracy นั้นเขามองว่า ประชาธิปไตยโดยทั่วไปเป็นเรื่องของอำนาจ แต่ประชาธิปไตยเชิงลึกเป็นเรื่องของความตระหนักรู้ (Awareness) ดังนั้น Satient Method เป็นการช่วยให้ผู้คนเกิดการตระหนักรู้เพื่อให้ก้าวออกจากลักษณะทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน ไปสู่ทั้งหมดที่เป็นลักษณะที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า ที่มา: จากหนังสือ A Path Made by Walking บทที่2 Basic Concepts in Process Work โดย Julie Diamond และ Lee Spark Jones ตามอ่านบที่2 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-2-basic-concepts-in-process-work
1 Comment
Chuvong
9/6/2015 21:54:07
Reply
Leave a Reply. |