ตามอ่านบทที่1 ได้ใน
http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-1 หลักการพื้นฐานของ Process Work (PW) “Practicing Process Work involves understanding “process” as the flow of experience in oneself and in the environment and following this flow in a differentiated way” (ในการฝึกฝน PW นั้นต้องเข้าใจว่า”กระบวนการ”เป็นการไหลไปของประสบการณ์ส่วนตัวและสิ่งแวดล้อมจากนั้นเราก็ติดตามการไหลนั้นไปในแนวทางที่ต่างไปจากเดิม) “เต๋า” คือการสอนให้มนุษย์ใช้ขีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติเพื่อความสมดุลและความสุข ผู้ใดที่่ต่อต้าน ฝ่าฝืน หรือเปลี่ยนแปลง”เต๋า” จะทำให้ชีวิตตึงเครียดและยากเข็ญ การเปลี่ยนแปลง(Transformation) จะเกิดขึ้นได้เมื่อมนุษย์สามารถเชื่อใจและดำเนินชีวิตตามธรรมขาติที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้พูดง่ายแต่ทำได้ยาก แนวคิดและวิถีปฏิบัติของ PW จะ Following Process ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน โดยนำแนวคิดของเต๋ามาผสานรวมกับจิตวิทยา ฟิสิกส์ และขนบธรรมเนียมด้านจิตวิญญาณต่างๆ Following the flow of process มินเดลเปรียบเทียบการ Following a process ว่าเหมือนกับการขี่ม้ากลับหลัง(Riding the horse backward เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของมินเดล) นั่นคือการมองสิ่งต่างๆในมุมมองใหม่ เป็นการเดินตามเสียงที่เราอาจจะไม่ชอบ(unwanted) ไม่ได้วางแผนไว้(unintended) แต่มันมาจากความเชื่อร่วมกัน(collective belief) บางคนบอกว่าถ้าคุณติดตามความไม่รู้(Follow the unknown)นี้ต่อไปมันจะทำให้คุณแย่ แต่PWเชื่อว่าถ้าคุณกล้าพอที่จะตามสัญญาณต่างๆไปคุณจะค้นพบโลกใบใหม่ นั่นคือคุณต้องมองไปยังสัญญาณต่างๆนอกเหนือจากความคิดเชิงเหตุผลเท่านั้น เช่น ความฝัน การโยนเหรียญ การตรวจสอบกับพลังงานของร่างกายในขณะนั้นๆ เป็นต้น การ Following a process ไม่ใช่การปล่อยอะไรให้ดำเนินไปเองหรือการยอมรับการกดขี่และการทำร้ายโดยไม่ทำอะไร(Passive) แต่มันคือการตระหนักให้ได้ว่าเมื่ออุปสรรคเกิดขึ้นมาแล้ว เราสามารถให้ความหมายอย่างไรกับการท้าทายนั้นๆ ช่วงแรกการ Following process มันดูเหมือนอันตรายและขัดกับสัญชาติญาณ(counterintuitive) เปรียบเหมือนกับนักสกีลงเขาตอนแรกจะรู้สึกกลัวว่าถ้าสกีลงมาจากภูเขาด้วยความเร็วเกินไปจะทำให้ทรงตัวไม่อยู่ จนเธอได้ไถสกีลงมาแล้วเท่านั้นล่ะถึงจะรู้ว่าเธอสามารถเล่นสกีได้อย่างดีเยี่ยม Differentiating the flow of process Primary Process หมายถึงประสบการณ์ที่แต่ละคนคุ้นเคยและเป็นบุคลิกหลัก(sense of identity) Secondary Process หมายถึงประสบการณ์ที่ห่างไกลจากบุคลิกหลักของเขา ทั้ง Primary Process และ Secondary Process จะถูกแยกจากกันด้วย “Edge”(ขอบ) และที่ขอบนี้เองเป็นที่อยู่ของประสบการณ์ที่เรายังไม่รู้ ที่ขอบนี้เองที่ทำให้เราอึดอัด หัวเสีย ตื่นเต้น เพราะเราต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่หรือไม่คุ้นเคย หลักการนี้เป็นกรอบให้เราสามารถแกะรอยการรับรู้ข่าวสารต่างๆในชีวิตประจำวันได้ว่า ด้านไหนที่ใกล้เคียงกับตัวเรา(closer to his everyday sense of himself) กับอีกด้านที่ไม่ใช่เรา(split off) ที่มันมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ ในชีวิตประจำวันเราได้รับข่าวสารของจากทั้ง Primary และ Secondary Process ทั้งจากตัวเราเองและจากคนอื่นตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังลงจากอพาร์เมนท์แล้วเขาก็ยิ้มให้กับเพื่อนบ้านของเขาแล้วก็รีบลงบันไดมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะต้องหยุดสนทนากันเป็นเวลานาน หรือการที่ใครพูดหรือทำอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจออกมา Process อาจรู้ได้(primary) และไม่อาจรู้(secondary) บ้างก็เป็นที่รู้จักกันดี(primary) บ้างเป็นอย่างที่เราไม่ชอบและตัดสินมัน(secondary) คนทั่วไประมัดระวังกับ Secondary Process แต่กลับไม่ได้มองถึงคุณูปการของมัน Consensus Reality(CR) คืออาณาเขตที่คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าคือ”ความจริง”(real) มันคือมุมมองของคนส่วนใหญ่(Majority) และเป็นค่าเฉลี่ยทางสถิติ(statistical norms) ส่วนNonconsensus Reality(NCR) กอปรขึ้นจากเรื่องนามธรรม(subjective) หรือความรู้สึกที่เราเหมือนฝันไป(dreamlike experience) รวมถึงความฝัน ความรู้สึก จินตนาการ การคาดคะเน(Projection) และประสบการณ์ต่างๆของโลกภายในของเรา ด้านCRนั้นเราสามารถถกเถียงและอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรม(objectively) แต่NCR นั้นผู้คนกลับไม่ค่อยจะยอมให้ตนเองรู้สึก พูดถึง หรือสังเกตเห็นมัน ประสบการณ์ด้าน NCR จะไม่ถูกพูดถึง/ไปอยู่ชายขอบ(marginalized) มันจะถูกปฏิเสธ หลีกเลี่ยง เพิกเฉย หรือไม่ถูกสังเกต ในสังคมประสบการณ์บางอย่างถูกมองว่า”ปกติ” แล้วก็ไปเหมาว่ามันเป็นชีวิตจริงหรือเป็นโลกทัศน์ ทำให้สิ่งอื่นถูกผลักไปอยู่อีกด้านและถูกปฏิเสธไปโดยปริยายด้วยคำว่า “ไม่ใช่ฉัน”(not me) บางประสบการณ์ถูก marginalized เพราะมันอาจเป็นภัยคุกคาม บางทีเพราะมันละเอียดอ่อนมากจนการตระหนักรู้อย่างปกติธรรมดาไม่อาจเข้าถึงมันได้ ดังนั้นการฝึกสอนด้านการตระหนักรู้จำเป็นต้องมีการพัฒนา”second attention” ด้วย และในทุกกรณีขอบ(edge) คือผลผลิตของ marginalization Noticing and unfolding a process การสังเกต process นั้นมินเดลได้ยืมคำของ Carlos Castaneda (เขามีหนังสือแปลไทยสองเล่มคือ”หยุดโลก”และ”วิถีแห่งพลัง”) คือ First attention หมายถึง การตระหนักรู้ถึง CR โลกของ รูปธรรม ผู้คน และเหตุการณ์ ในขณะที่ Second attention หมายถึง การรับรู้ถึงสิ่งที่ไม่ตั้งใจ(unintended)เป็นประสบการณ์ที่ถูกละเลยจาก First attention มินเดลระบุ Second attention ว่า “เป็นการเพ่งความสนใจ[focus]ไปในสิ่งที่ปกติถูกละเลยทั้งภายในและภายนอกตัวเอง เรื่องนามธรรม เรื่องที่ไม่มีเหตุผล(irrational) Second attention เป็นกุญแจที่จะไขปริศนาของความฝัน จิตไร้สำนึก dreamlike movements อุบัติเหตุ syncronicities และการหลุดปากพูด(slips of tongue) ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน" สำหรับการคลี่แผ่(unfold) process นั้นมันเกี่ยวกับการสังเกต Secondary หรือ NCR ในการระบุถึงปัญหา แล้วขยายมัน(amplifying) จนเกิดความหมายใหม่แล้วนำประสบการณ์อันใหม่นี้กลับไปยังชีวิตประจำวัน โดย Primary process เป็นการสื่อสารอย่างตั้งใจ (intended communication) ผ่านภาษาและอริยาบถที่ตั้งใจ ส่วน Seconday process เป็นการสื่อสารที่ไม่ตั้งใจ (unintended communication) ที่อยู่ในอวัจนภาษา เช่น ท่าทาง อริยาบถ การเคลื่อนไหว หรืออยู่ใน Paralanguage อันได้แก่ โทนเสียง จังหวะ และความดังของเสียง บทสนทนาจะมีทั้่งการสื่อสารที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจซึ่งสามารถสร้างความสับสนและการเข้าใจผิดเกิดขึ้นเสมอๆ ทั้งการสื่อสารที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจนั้นต่างก็บรรจุไว้ซึ่ง”สัญญาณ”(signals) โดยสัญญาณที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและนานจนรับรู้ได้เรียกว่า “nonflickering” ส่วนสัญญาณที่บางเบามากจนแทบจะไม่ทันรู้สึกเราเรียกว่า “flickering” “flirts” หรือ “pre-signals” สัญญาณแบบหลังนี้จะถูกสังเกตได้เพียงชั่วครู่และไม่ได้แสดงให้เห็นเป็นเวลานานหรือเข้มข้นมากพอที่จะให้เราสังเกตได้ง่ายๆ PWจะฝึกฝนความสามารถในการสืบหาทั้ง flickering และ nonflickering signals ระบุความแตกต่างของsignalsทั้งCRและNCR และยังให้ไหลไปตาม dreaming signals ที่นำไปสู่ unknown “Sensory-grounded information” จะผ่านมาจาก คำพูด(verbal) paralinguistic และ nonverbal signals ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภาษาของ dreaming process ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้รับการบำบัดพูดว่าเธอมีภาวะโศกเศร้า แค่นี้มันไม่ได้ระบุถึง dreaming process ของเธอ แต่ถ้าผู้บำบัดถามต่อว่า “คุณมีประสบการณ์อย่างไรกับความเศร้าโศกนี้?” ถ้าคำตอบคือเธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างดึงเธอเข้าไปข้างใน ทำให้เธอรู้สึกหนักอึ้ง และต่ำต้อย โดยขณะที่เธอพูดเธอมองต่ำลง ดวงตาค่อยๆปิดลงช้าๆ ลมหายใจแผ่วเบาลง และไหล่ของเธอห่อลง ทั้งหมดนี้คือ “Sensory-grounded information” ซึ่งมันถูกสื่อสารผ่าน “Channels” ได้แก่ visual channel(ผ่านการมอง) proprioceptive channel(ผ่านการรับความรู้สึกทางกาย) kinesthetic channel(ผ่านการเคลื่อนไหว) auditory channel(ผ่านการการได้ยินเสียง) relationship channel(ผ่านการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน) world channel(เช่นผ่านขนบประเพณี เหตุการณ์ของโลก หรือธรรมชาติ) สิ่งที่PWทำคือติดตาม Sensory-grounded information ต่อไป นั่นคือการ “Feedback” ซึ่งมีสองประเภทคือ “Positive feedback” คือ สัญญาณจะแรงขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น และ”Negative feedback” คือ สัญญาณไม่ได้แรงขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเกิด Negative feedbackแล้วแปลว่าการกระตุ้นนั้นผิดและในทางกลับกัน Positive feedback ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระตุ้นนั้นถูกเสมอไป เมื่อสัญญาณต่างๆได้รับความสนใจและถูกปลุกเร้าขึ้นโดยกระบวนกร สัญญาณนั้นก็จะขยายแรงขึ้น (self-amplify) เปรียบเหมือนกับเราหลงป่าแล้วตะโกนหาคนช่วยถ้าไม่มีใครได้ยิน เสียงของเราก็จะค่อยๆแหบแห้งลง แต่ถ้ามีใครส่งเสียงเรียกกลับมาเราจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ตอนนั้นเสียงตะโกนของเราก็จะกลับมาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “Amplifying sensory-grounded signals by following feedback allows a dreaming experience to emerge” บางครั้งเราก็ไม่สามารถแยกระหว่าง Primary Signals กับ Secondary Signals ได้มันทำให้เราเกิดความสับสนและหงุดหงิดใจได้ซึ่งเรียกว่า “Double Signals” ใน PW เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “dreaming up” ซึ่งเป็นการที่คนหนึ่งตอบสนองต่อคนอื่นโดยส่งสัญญาณที่เขาไม่ได้ตั้งใจโดยที่เขาไม่รู้ตัว อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันกับเพื่อน กับครอบครัว หรือแม้แต่กับกระบวนกรและผู้รับการบำบัดด้วย Who is following the process? การ Following a process ขึ้นอยู่กับการตระหนักรู้ของทั้งผู้รับการบำบัดและกระบวนกร ในแง่กระบวนกรนั้นต้องสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง primary process กับ secondary process ต้องสังเกตสัญญาณ channels และให้feedback ได้ ส่วนผู้รับการบำบัดต้องสามารถตระหนักรู้ในประสบการณ์ของตน จับประสาทสัมผัส ความรู้สึกของตนเองได้ นี่คือเหตุผลที่ PW มักจะถูกเรียกว่าเป็นแนวทางการฝึกการตระหนักรู้ สิ่งสำคัญคือความสามารถที่เราจะสามารถสังเกตประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่อยู่นอกเหนือจากการการตระหนักรู้ในระดับปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันคือการตระหนักรู้พิเศษ(detached awarness) ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า “metacommunicator” ตามที่กล่าวมาว่าการ following a process คือการแยกระหว่างสิ่งที่เป็น”ฉัน”(me,primary,CR) กับสิ่งที่รบกวนเราหรือ”คนอื่น”(other,secondary,NCR)แล้วยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการตระหนักรู้ว่าใครล่ะที่เป็นผู้สังเกตเห็นปรากฎการณ์นี้ ซึ่งแนวคิดของ metacommunicator นี้เหมือนกับแนวคิดของพุทธศาสนาที่เรียกว่า “detached observer” (น่าจะแปลประมาณว่า “สติ” หรือไม่ก็ “ตัวรู้” หรือเปล่า?) หรือเรียกกันในชื่ออื่นๆ ดังนี้ “witness” “observer” “narrator” “inner facilitator” ลักษณะของ metacommunicator คือการที่ตัวเราเองถามตัวเราเองว่า ใครเป็นผู้เล่าประสบการณ์นี้อยู่? ใครรายงานปัญหานี้อยู่? แล้วเราจะอธิบายปัญหานี้อย่างไร? ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ เช่น การเลี้ยงดู การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา โลกทัศน์ และชีวประวัติส่วนตัว เหล่านี้มันจะจำกัดการรับรู้ของพวกเราทุกคน ผลก็คือ metacommunicator ของเราจะมีอคติ ตัวอย่างเช่นมีนักเขียนคนหนึ่งกำลังจะเขียนหนังสือเสร็จแล้วเขาก็รู้สึกปวดหลังขึ้นมาเนื่องจากนั่งท่าเดียวมาเป็นเวลานานแต่เขาก็ไม่สนใจและคิดว่า “โอ้ไม่! ฉันปวดหลังแล้วแต่งานกำลังจะเสร็จอยู่แล้ว ฉันจะเลิกทำตอนนี้ไม่ได้” ในกรณีนี้ metacommunicator ของนักเขียนคนนี้ได้ตระหนักถึงอาการปวดหลังแล้ว แต่มันถือหางข้างเป้าหมายในการเขียนหนังสือ ซึ่งเป็นด้าน primary (ดูรูปที่1ประกอบ) การที่จะทำให้เรามี metacommunicator ที่เป็นกลางมากขึ้นอาจทำได้โดยการฝึกฝนทางด้านจิตวิทยา หรือการฝึกสมาธิแบบต่างๆ หรือไม่ก็ผ่านประสบการณ์ตรง การพัฒนา metacommunicator นี้เป็นประชาธิปไตยเชิงลึก(deeply democratic) เหมือนกับการทำกระบวนการกลุ่มที่ดีจำเป็นต้องมองให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะต่างๆที่ถูกละเลย ให้พื้นที่กับมัน ให้มันได้แสดงออกได้มีบทบาทร่วมกับส่วนอื่นๆ metacommunicator ที่เป็นกลางนี้เรียกว่า second attention นั่นคือความสามารถที่จะสังเกตเห็น NCR ได้เหมือนกับ CR ในตัวอย่างนี้พอนักเขียนรู้สึกปวดหลังแล้วเขาก็ตระหนักรู้ถึงการที่เขาไม่เอาใจใส่ในความรู้สึกที่มันรบกวนเขาอยู่และคิดว่า"ฉันยังไม่อยากขยับตัวเพราะฉันอยากทำงานให้เสร็จในตอนเช้านี้" ความสามารถในการ detached metacommunicator นี้คือการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของการรับรู้โดยไม่ติดกับแค่ด้านใดด้านหนึ่ง (ดูรูปที่2 ประกอบ) ถ้าเปรียบระดับความสามารถของ metacommunicator มาตีเป็นเส้นตรงต่อเนื่องกัน(continuum) ที่ปลายข้างหนึ่งเป็นสภาวะการตระหนักรู้ โดยสามารถสะท้อน ระบุ และสื่อสารประสบการณ์ส่วนตัวได้ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งของเส้นคือสภาวะที่วิกลจริตหรืออยู่ในภาวะโคม่า ที่แทบจะไม่มีความสามารถของ metacommunicator เลย ระหว่างสองขั้วนี้คือระดับของการรู้ตัว (conscious) ที่จะสามารถคิด และพูดประสบการณ์ส่วนตัว ได้อย่างเป็นกลาง(neutrally) ในกรณีที่คนที่อยู่ในภาวะจมกับอารมณ์ที่รุนแรง เช่น โกรธหรือโศกเศร้ามากๆ เขาจะไม่สามารถพูดสภาวะของเขาได้ในขณะนั้น ในอีกนัยหนึ่งคือระดับความสามารถของ metacommunicator ในช่วงนั้นก็ลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งถ้ากระบวนกรพบผู้รับการบำบัดอยู่ในสภาวะเช่นนี้ กระบวนกรควรอยู่ร่วมไปกับภาวะนั้นของผู้รับการบำบัดด้วย โดยอาจนั่งเงียบๆ ด้วยกัน และถ้ามีจังหวะกระบวนกรอาจเปลี่ยน channel เช่น ให้ผู้รับการบำบัดเคลื่อนไหวหรือใช้การสัมผัสแทน แล้วจึงค่อยเคลื่อนเข้าสู่การบำบัดโดยไหลไปตาม process หรือบางทีการทำ PW กับกรณีที่ผู้รับการบำบัดอยู่ในภาวะจมกับอารมณ์ที่รุนแรง หรืออยู่ในสภาวะพิเศษ(alter state) กระบวนกรจะใช้กระบวนการเข้าถึง secondary process โดยไม่ได้ผ่าน metacommunicator แบบปกติ Metaskills(อภิทักษะ) ความเป็นกลาง(neutrality) และอุเบกขา(detachment) ของกระบวนกร ไม่ได้มาจากแค่การพัฒนา metacommunicator หรือ second attention เท่านั้นแต่ต้องมี อภิทักษะ ด้วย ซึ่งอภิทักษะในที่นี้คือ feeling attitude คุณค่า และความเชื่ออย่างลึกซึ้งในการทำงานกับผู้คน อภิทักษะครอบคลุมถึงเรื่อง ความเป็นความตาย ธรรมชาติ การเรียนรู้ การเติบโต รวมถึงความรู้สึกว่าควรจะนำทักษะใดออกมาใช้ อภิทักษะจะงอกงามในตัวเรามากกว่าผ่านการเรียน(Metaskills are grown rather than learned.) มันถูกพัฒนาผ่านประสบการณ์ชีวิตและพัฒนาผ่านความเพียรที่จะรู้ตัว(conscious effort) หลายๆอภิทักษะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติตั้งแต่ช่วงปฐมวัย บ้างก็เกิดเมื่อเราอายุมากขึ้น บ้างก็ต้องผ่านความยากลำบากมาก่อน บางคนก็พัฒนาผ่านการฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณ หรือโดยคำชี้แนะจากครูหรือผู้ให้การเยียวยา(mentor) บ้างก็พัฒนาผ่านการทำงานกับโลกและความสัมพันธ์กับผู้คน บางส่วนของอภิทักษะในPWมีดังต่อไปนี้ Following nature(ไหลไปตามธรรมชาติ) แนวทางนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของPW เชื่อในธรรมชาติคือเชื่อว่ากระบวนกรที่แท้จริงของprocess คือธรรมชาติไม่ใช่ตัวคน(ตัวกระบวนกรเอง) เมื่อกระบวนกรเชื่อในธรรมชาติเขาจะเปิดใจและเคารพใน dreaming process เขาจะสังเกตสัญญาณต่างๆและติดตามมันไป การแก้ปัญหาหรือบำบัดไม่ใช่เป้าหมายมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ process เท่านั้น เชื่อในธรรมชาติยังหมายถึงเชื่อในตัวผู้รับการบำบัดว่ากระบวนการของเขาจะหาหนทางให้ตัวเขาเองได้ อภิทักษะอันนี้จะไม่ทำให้ผู้รับการบำบัดรู้สึกว่าเขาป่วยหรือไม่ถูกกดดันว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงหรือต้องได้อะไรกลับไป และการเชื่อในธรรมชาตินี้ยังช่วยตัวกระบวนกรให้ไม่ต้องรู้สึกอ่อนล้าเมื่ออะไรไม่ได้เป็นดั่งใจและไม่ต้องพยายามหาวิธีการต่างๆ เพียงแค่การไหลไปตามภูมิปัญญาของprocess คำตอบก็จะปรากฎในกระบวนการเอง ฺBeginner’s mind (จิตของผู้เร่ิมต้น) จิตของผู้เริ่มต้นหมายถึงการไหลไปตามprocess โดยไม่ตัดสิน ไม่ตีความ ไม่มีอคติ จิตของผู้เร่ิมต้นจะมีลักษณะ อยากรู้อยากเห็น เปิดใจ และกระตือรือล้น ทุกประสบการณ์ดูสดใหม่เสมอ ตัวอย่างเช่นถ้ากระบวนกรได้ฟังเรื่องราวของผู้บำบัดว่ารู้สึกเจ็บปวดเพราะความห่างเหินของคู่ครอง ถ้ากระบวนกรไปตีความว่าความเจ็บปวดนั้นคือรู้สึกโดนทอดทิ้ง กระบวนกรอาจพลาดจังหวะการกระพริบตาเมื่อผู้รับการบำบัดพูดถึงลักษณะห่างเหินของคู่ครองของเขา และอาจทำให้พลาดประตูสู่สิ่งที่สำคัญไป ถ้าปราศจากอภิทักษะอันนี้กระบวนกรจะพลาดสัญญาณของ dreaming process เพราะเขาจะตัดสิน ชี้นำ หรือแปลความหมายของprocess จากแค่มุมมองของเขาเองเท่านั้น Eldership (ความเป็นสัตบุรุษ) สัตบุรุษเปรียบเสมือนคุณยายใจดีที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้รู้สึกดี แต่ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนเช่นกัน อภิทักษะตัวนี้คือทัศนคิตที่จะสนับสนุน รัก และที่สำคัญที่สุดคือ รับทั้งหมด(inclusiveness) การทำงานของสัตบุรุษจะไม่ได้มุ่งเพื่อเป้าหมายแต่จะรวมเป้าหมายของผู้รับการบำบัดเข้ามาด้วย อภิทักษะนี้ไม่ได้พัฒนากันได้ง่ายๆ เพราะความกรุณาและการปราถนาให้สิ่งที่ดีที่สุดกับผู้รับการบำบัดกระบวนกรจะพยายามให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงตนเอง การกระทำเช่นนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นการช่วยเหลือแต่มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของprocessเท่านั้น อภิทักษะความเป็นสัตบุรุษนี้จะมองในระยะยาว พร้อมกับจดจำภาวะชั่วขณะและนิรันดร์ (recognizing the momentary and the eternal) รวมทั้งความเป็นส่วนตัวและไม่ใช่ส่วนตัว(the personal and the impersonal) สัตบุรุษยังสามารถทำงานในหลายๆระดับของความจริงไปพร้อมๆกันได้ เขาสามารถไหลไปตามกระบวนการโดยใส่ใจในเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตและบริบท พร้อมๆกับการจับสัมผัสถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาได้ด้วย อภิทักษะอันนี้ยังสามารถสร้างความไว้วางใจได้เพราะไม่ได้ติดอยู่กับแค่ผลลัพธ์ใดผลลัพธ์หนึ่งเท่านั้น No change (ไม่เปลี่ยน) อภิทักษะอันนี้เชื่อว่าทุกสิ่งอย่างมันดำเนินไปตามครรลองที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว เปลี่ยนและไม่เปลี่ยนต่างก็เป็นที่พึงปรารถนาทั้งคู่ ไม่ต้องมีความพยายามใด ทุกอย่าสมบูรณ์ในตัวเองแม้แต่สิ่งที่เราเกลียดมัน การไม่เปลี่ยนนี้คือความเชื่อที่ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับในทุกๆส่วน (sustainable change happens only with the consent of all parts) การที่คนเราไปลดคุณค่าบางอย่างลงเช่นความโกรธ ความน่ารังเกียจ แล้วพยายามละทิ้งมันไปแต่สุดท้ายมันก็ยังคงกลับมาทำร้ายเราอยู่ดี เหมือนกับการปฏิวัติที่เป็นแค่การเปลี่ยนผู้นำเผด็จการคนต่อไปเท่านั้นแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นโดยการรังเกียจส่วนใดส่วนหนึ่งแต่มันจะเกิดขึ้นได้เพราะการยอมรับและเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกส่วน ถึงแม้ว่าบางส่วนนั้นเราอยากจะเปลี่ยนมันก็ตามที You today, me tomorrow (วันนี้คุณ พรุ่งนี้ฉัน) เป็นความกรุณาที่มาจากการตระหนักรู้ เปรียบเสมือนกับการใส่รองเท้าของคนอื่นอยู่ เหมือนการอยู่ร่วมในเรือลำเดียวกัน เผชิญปัญหาชีวิตร่วมกัน ความกรุณาชนิดนี้เป็นมากกว่าการเข้าอกเข้าใจ(empathy) มากกว่าความสงสาร(sympathy) ทั้งยังเชื่อในโชคชะตาและให้ความเคารพต่อการขึ้นลงของชีวิตของแต่ละบุคคล หมายเหตุ คำว่าอภิทักษะและสัตบุรุษ แปลโดยอาจารย์ประชา หุตานุวัตร ที่มา: จากหนังสือ A Path Made by Walking บทที่2 Basic Concepts in Process Work โดย Julie Diamond และ Lee Spark Jones ตามอ่านบทที่ 3.1 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-3-mapping-the-process-13
0 Comments
Leave a Reply. |