ตามอ่านบทที่1 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-1 ตามอ่านบทที่2 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-2-basic-concepts-in-process-work การไหลไปตามกระบวนการ(Following a Process) เป็นเหมือนกับการที่คุณกำลังไปยังที่ๆคุณไม่เคยไป การที่คุณโอบกอดความเป็นไปได้ต่างๆไว้ ชีวิตของคุณจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม แล้วแผนที่แบบไหนล่ะที่จะใช้การได้ ในเมื่อเส้นทางยังไม่ปรากฎออกมา? ในบทนี้จะพูดเรื่อง “โครงสร้างของกระบวนการ” (“process structure”) ในเรื่องของการวาดภาพร่างของทางเดิน ที่ยังไม่มีใครเคยเดิน เพื่อการคลื่ออกของกระบวนการ (mapping the untrodden path of an unfolding proces) โดยจะบอกถึงวิธีคิด(thinking) อภิทักษะ(metaskills) ทักษะในการหยั่งรู้(perceptual skills) และเทคนิคในการปฏิบัติ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเริ่มต้นในการไหลไปตามกระบวนการ(Following a Process) Process Structure นี้เป็นการสร้างกรอบที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้(fluid)โดยกระบวนกรจะคลี่แผ่กระบวนการของผู้รับการบำบัดออกมา การระบุส่วนต่างๆที่ปรากฎขึ้นมานั้นเปรียบเสมือนเป็นประตูสู่ความฝัน(dream doors) ของ Dreaming Process กระบวนกรจะสังเกตสัญญาณจากทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้รับการบำบัดอย่างตั้งใจ กระบวนกรจะเข้าไปสัมผัสถึงชิ้นส่วนต่างๆที่หลากหลายของกระบวนการ รวมถึงความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆทั้งหมดที่มีต่อกัน บางส่วนก็เผยตัวออกมาอย่างชัดเจน(mainstream)เพราะเป็น Primary ของผู้รับการบำบัด บางส่วนก็เผยตัวออกมาถึงความเป็นชายขอบที่ถูกละเลย(marginalized) ซึ่งประสบการณ์ของความเป็นชายขอบที่ถูกละเลยนี้มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำการค้นหาเข้าไปในรายละเอียดเชิงลึก เพราะมันจะเป็นเหมือนกับการเปิดโลกใหม่ให้กับผู้รับการบำบัดเลยทีเดียว Thinking skills in mapping a process (ทักษะวิธีคิดในการร่างภาพกระบวนการ) Process Structure ไม่ใช่แบบแผนที่ตายตัว (not a fixed plan) แต่มันมีพลวัต(dynamic)และไม่อาจทำนายได้(unpredictable framework) มันจะคล้ายๆกับแผนที่ในเทพนิยายที่ป้ายบอกทางอาจเปลี่ยนทิศทางเองได้ ถนนโผล่ขึ้นมาเองและหายไปเองได้ จุดหมายปลายทางก็เปลี่ยนแปลงได้ หรืออาจมีสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ การที่จะให้ Process Structure เกิดขึ้นมาได้นั้น กระบวนกรต้องมีปฏิสัมพันธ์กับการที่ผู้รับการบำบัดพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเขา และใช้วิธีสังเกตอวัจนภาษาเผยตัวออกมา กระบวนกรจะต้องลองคาดเดาว่าด้านไหนคือ Primary ด้านไหนคือ Secondary และอะไรคือขอบ(edge)ที่อยู่ระหว่างทั้งสอง แต่ละส่วนของข้อมูลจะช่วยในการอธิบายแบบแผนของส่วนต่างๆ และความเกี่ยวเนื่องกันของส่วนต่างๆ กระบวนการสร้างProcess Structure จะเป็นกระบวนการซ้ำๆย้ำๆ(iterative process) มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นได้หลายๆครั้ง การตั้งสมมติฐานและการตั้งคำถามนั้นถูกสร้างขึ้น(formed) รื้อทิ้ง(discarded) ปรับปรุง(reformed) และเพิ่มเติมรายละเอียด(elaborated) ได้ตลอดเวลา โดยขึ้นกับการตอบกลับ(feedback)จากผู้รับการบำบัด การคิดเชิงอุปนัย (Inductive thinking) การคิดเชิงอุปนัยนี้คือการนำเอาชิ้นส่วนต่างๆของข้อมูลมาประกอบเข้าด้วยกันจนเป็นโมเดล วิธีการเดียวที่จะตรวจสอบว่าโมเดลนี้ใช้ได้ผลหรือไม่นั้น ทำได้โดยดูว่ามันเข้ากันได้กับข้อมูลชิ้นใหม่หรือเปล่า และมันช่วยส่งเสริมให้เกิดข้อมูลและพลังงานอย่างต่อเนื่องไหม การคิดเชิงอุปนัยนี้ก็มีการใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น นักสืบจะใช้ในการสร้างโมเดลของการฆาตกรรมจากเบาะแสต่างๆ คนทั่วไปจะใช้การคิดเชิงอุปนัยเวลาที่เขาต้องอยู่ในสถานการณ์ใหม่หรือต้องประสบกับบางอย่างที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ในสถานการณ์นั้นพวกเขาไม่เคยมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้มาก่อน ไม่มีตัวช่วย ไม่มีคู่มือที่จะบอกว่าต้องทำอะไรและอย่างไร ตัวอย่างเช่นเวลาเดินทางไปยังต่างประเทศที่เราพูดภาษาเขาไม่ได้ ไม่รู้ขนบธรรมเนียมของเขา เราก็จะกวาดตามองสิ่งแวดล้อมใหม่นั้น แล้วพยายามสร้างโมเดลเพื่ออธิบายว่าผู้คนเขาพูดอะไรกัน พวกเขาทำอะไรกัน โดยการใช้การคิดเชิงอุปนัยนี้เราจะพยายามที่จะทำความเข้าใจโดยการสร้างสมมติฐาน อุปมาอุปมัย ใช้ประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ โดยการใช้สัญชาติญาณพื้นฐานในการเรียนรู้ การคิดเชิงอุปนัยนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างโมเดลที่ถูกต้องและเที่ยงตรง แต่สนใจว่ามันใช้การได้ไหม ตราบใดที่มันยังช่วยให้เราเอาตัวรอดได้ก็เป็นอันใช้ได้ จึงมีคนเรียกวิธีการคิดแบบนี้ว่า การคิดแนวขนาน (Parallel Thinking) กล่าวโดยสรุป การคิดแนวขนานนี้หมายถึงการให้พื้นที่กับความเป็นไปได้ มันเป็นการสร้างโมเดลที่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นไปได้(possibilities) การสำรวจ(exploration) การหยั่งรู้(perception) การคาดเดา(guessing) และจินตนาการ(imagination) แทนที่การจะดูว่ามันถูกหรือมันผิดแค่นั้น สำหรับการทำงานกับProcess Structureนั้น การคิดเชิงอุปนัยนี้มีประโยชน์อย่างมาก เพราะมันช่วยในการร่างแผนที่ของ Process Structure ในแบบที่มันปรากฎตัวออกมา มันไม่ได้กังวลถึงความถูกต้องหรือคำตอบที่ได้ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เพราะถ้ามันเกิดการคาดการณ์ผิดขึ้นมาระหว่างทางหรือเกิดความสับสนขึ้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเริ่มกระบวนการใหม่ตั่งแต่ต้นกระบวนกรก็ทำการคาดเดาใหม่โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ โดยเริ่มการสำรวจใหม่แล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป โดยมองหาวิธีที่จะใช้ในการคลี่แผ่กระบวนการ ไม่ต้องรู้ทุกอย่าง (Not Knowing) นักจิตบำบัดมักจะอึดอัดเพราะถูกกดดันว่าต้องมีความรู้และเฉลียวฉลาดพอที่จะช่วยผู้รับการบำบัดได้ แต่สำหรับ กระบวนกรProcess Work นั้นจะมีอภิทักษะที่เรียกว่าจิตของผู้เริ่มต้น(beginner’s mind) ซึ่งอนุญาตให้กระบวนกรไม่รู้บ้างก็ได้ พร้อมเปิดรับกับการนำทางจากผู้รับการบำบัด จากฟีดแบ็คทั้งทางตรงและทางอ้อม แรงกดดันที่จะต้องมีความรู้และ”ทำสิ่งที่ถูกต้อง”(get it right) คืออุปสรรคที่กระบวนกรจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้ มันทำให้กระบวนกรไม่โฟกัสไปที่ส่วนที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการหยั่งรู้ถึงสัญญาณ(perception of signals) แต่ไปสนใจในเรื่องการแปลผล และการแก้ปัญหาแทน กระบวนกรจะไม่ถามคำถามที่ถูกต้องเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง จริงๆแล้วข้อผิดพลาด(errors)และการเดาผิด(wrong guesses) จะช่วยให้ทั้งกระบวนกรและผู้รับการบำบัดได้สำรวจเส้นทางใหม่ๆ และได้รับผลดียิ่งขึ้นไปอีกในการทำความเข้าใจกับสภาวะด้านในของตัวผู้รับการบำบัดเอง สังเกตอคติได้ (Noticing bias) เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วผู้รับการบำบัดต้องการความช่วยเหลือ มันจะช่วยอย่างมากเลยที่กระบวนกรจะตระหนักว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพทั้งหมดของผู้รับการบำบัดเท่านั้น (it is helpful for facilitator to remember that the one presenting the problem is only one part of the client’s personality) ผู้ที่เล่าปัญหานี้อยู่(Narrator)ส่วนใหญ่แล้วเขาจะมีอคติกับส่วนอื่นๆของบุคลิกภาพ และอาจนำเสนอในสิ่งที่บิดเบือนซึ่งเป็นไปตามสิ่งที่เขาให้ความสนใจและมีเป้าหมายเท่านั้น เปรียบเหมือนกับโฆษกรัฐบาลพูดกับสื่อมวลชน Narratorนี้จะใส่สีตีไข่โดยมีวาระส่วนตัวที่มีอคติ กระบวนกรProcess Work ต้องรู้ว่า Narrator นี้มีอคติและต้องพยายามถามคำถามที่ทำให้มองเห็นภาพใหญ่ได้ทั้งหมด การหลีกเลี่ยงอคติของNarratorนั้น กระบวนกรต้องถามคำถามเป็นจำนวนมาก จนได้คำอธิบายส่วนต่างๆได้อย่างครบถ้วนและได้เห็นความสัมพันธ์กันของส่วนต่างๆนั้น (the facilitator must ask a lot of questions and obtain a full description of all the parts and their relationship) กระบวนกรต้องตระหนักรู้อีกว่า Narrator จะพยายามที่จะทำให้กระบวนกรรับรองการรับรู้ความจริงในแบบฉบับของNarratorเอง วิธีการหนึ่งที่ช่วยได้มากคือการคิดให้เหมือนกับการทำงานของนักข่าวที่มีคุณภาพ นักข่าวที่ดีจะไม่ใช้แค่ความเห็นของคนใดคนหนึ่งในการอธิบายเหตุการณ์หนึ่งๆ เพราะมุมมองต่อเหตุการณ์เดียวกันนี้ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป การสัมภาษณ์พยานรู้เห็นทุกคนในเหตุการณ์จะทำให้นักข่าวสามารถให้ข้อมูลของเหตุการณ์อย่างครบถ้วน ถึงแม้ว่าตัวกระบวนกรเองจะรู้สึกไวต่อด้าน Primary Process แต่เขาก็ต้องไม่ถือหางเพียงด้านนี้เพียงด้านเดียว กระบวนกรจะนับNarratorนี้เป็นเพียงมุมมองหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดเท่านั้น วิธีการหลีกเลี่ยงอคตินี้ทำได้โดยใช้เทคนิคการ “โยนตัวกวน” (asking “wicked” questions) คำถามที่จะเป็นตัวกวนที่ดีได้นั้น มันจะไม่อนุญาตให้ผู้ตอบได้ไหลไปตาม Consensu Reality (โลกที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคือความเป็นจริง) โดยเพียงแต่อธิบายเพียงแค่Primary Processเท่านั้น ตัวอย่างเช่นถ้าผู้รับการบำบัดบอกว่าความหึงหวงเป็นปัญหาโดยอุทานออกมาว่า “เอ้อ ฉันรู้สึกหึงหวงเมื่อคู่ของฉันไม่อยู่ มันไม่ดีเลยใช่ไหม!” สิ่งที่ผู้รับการบำบัดพูดออกมานี้คือ Primary Process ซึ่งมีอคติต่อความหึงหวงและเธออยากกลับเข้าสู่สภาวะที่เธอรู้สึกว่าปกติเพื่อให้ตัวเธอเองรู้สึกดีขึ้น สิ่งที่กระบวนกรต้องหลีกเลี่ยงคือการถือหางหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อ Narrator ที่เล่าเรื่องราวนี้ เช่นถามคำถามจำพวกว่า “แล้วหึงหวงมันแย่อย่างไร?” (What’s bad about jealousy?) ซึ่งมันเหมือนกับไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับผู้พูดว่าหึงหวงมันไม่ดี กระบวนกรควรโยนตัวกวนที่สามารถตรวจสอบถึงความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆระหว่างกัน ดังคำถามที่่ว่า “คุณเกลียดอะไรเกี่ยวกับความหึงหวง?” (What do you hate about jealousy?) เมื่อกระบวนกรถามคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆเช่นนี้แล้ว ผู้รับการบำบัดจะเริ่มมองเห็นว่า Primary Process ของเธอได้ละเลย(marginalized)ส่วนอื่นๆไปอย่างไร ในแบบฝึกหัดที่ 3.1 นี้จะเป็นการฝึกฝนการวาดภาพร่างโครงสร้างของกระบวนการ (mapping a process structure) โดยใช้แนวทางวิธีคิดที่ได้อธิบายมา ตัวอย่างนี้จะช่วยให้เราพัฒนาการให้เหตุผลเชิงอุปนัยและความสามารถที่จะมองเห็นภาพรวมอย่างไร้อคติของ Process Structure แบบฝึกหัดที่ 3.1 Mapping a process
เป็นการทำงานเป็นคู่ คนหนึ่งเป็นกระบวนกร คนหนึ่งเป็นผู้รับการบำบัด ผู้รับการบำบัดอธิบายปัญหาหรือประเด็นที่ประสบอยู่ กระบวนกรทำตามขั้นตอนต่างๆดังนี้ 1. สังเกตสัญญาณทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้รับการบำบัดเพื่อหาส่วนต่างๆในแบบแผนของกระบวนการ(process pattern)รวมถึงตัว Narrator
สัญญาณของอวัจนภาษาและคำพูดอะไรที่อธิบายถึงปัญหานั้น? (What nonverbal signals and words are used to describe it?) เนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไร? (What qualities belong to it?) คำไหนที่ถูกเน้นย้ำเป็นพิเศษ? (What words are used or emphasized?)
แล้วมีสัญญาณ คำพูด หรือเนื้อหาไหนที่มีความสำคัญ ที่ไปด้วยกันกับเรื่องนั้นได้บ้าง? (Do they have particular signals, words, or qualities that go along with them?)
การตอบโต้นั้นสามารถระบุได้ไหมว่าเป็นส่วนไหน? (Can the reaction be identified as part?) แล้วมันมีสัญญาณ คำพูด หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับมันบ้างไหม? (Does it have signals, word and qualities associated with it?) 2. ใช้จินตนาการของคุณในการสร้างเรื่องราวหรือเทพนิยายที่กล่าวถึงด้านต่างๆทั้งหมดของกระบวนการ โดยเริ่มจากด้านใดด้านหนึ่งก่อนเพื่อเป็นการเริ่มต้น อย่าระบุชื่อให้เหมือนกับที่ผู้รับการบำบัดระบุ สร้างบทบาทหรือท่าทางที่ประกอบด้วยสัญญาณและเนื้อหาของส่วนต่างๆ ซึ่งมันสามารถเป็นตัวสัตว์ เครื่องรางของขลัง ตัวละครในภาพยนตร์ หนังสือ หรือเทพนิยายต่างๆก็ได้ โดยเริ่มต้นเรื่องราวด้วยคำว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…” 3. เมื่อคุณเริ่มเล่านิทาน ลองสังเกตการฟีดแบ็คของผู้รับการบำบัด สังเกตว่ามีความตื่นเต้นหรือพลังงานตรงส่วนไหนบ้าง ดูซิว่าผู้รับการบำบัดมีการเพิ่มสถานที่ ตัวละคร พลอตเรื่อง และการแก้ปัญหาใดๆ เข้ามาในเนื้อเรื่องหรือไม่ 4. เมื่อเล่านิทานเสร็จแล้วจึงแลกเปลี่ยนกับผู้รับการบำบัดถึงภาพร่างของกระบวนการที่ได้จากนิทานเรื่องนี้ ระบุถึงทั้งด้านที่เป็น Primary และ Secondary ขอบ(edge)ที่อยู่ระหว่างทั้งสองด้าน และความสัมพันธ์ของด้านทั้งสอง ที่มา: จากหนังสือ A Path Made by Walking บทที่2 Basic Concepts in Process Work โดย Julie Diamond และ Lee Spark Jones ตามอ่านบทที่3.2 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-3-mapping-the-process-23
0 Comments
Leave a Reply. |