ตามอ่านบทที่1 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-1 ตามอ่านบทที่2 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-2-basic-concepts-in-process-work ตามอ่านบทที่3.1 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-3-mapping-the-process-13 Perceptual skills for mapping a process (ทักษะการหยั่งรู้สำหรับการร่างภาพกระบวนการ) เพื่อให้ได้แผนที่ๆครบถ้วนสมบูรณ์ของProcess Structure กระบวนกรต้องมีทักษะการหยั่งรู้ที่จะจำแนกสัญญาณอันหลากหลายที่สื่อสารออกมาทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทั้งกระบวนกรและผู้รับการบำบัด แผนที่ของProcess Structure นี้เกิดจากข้อมูลของการหยั่งรู้สองประเภท ได้แก่ สัญญาณที่เกิดขึ้นเป็นประจำ หรือเรียกว่าPrimary Process และสัญญาณที่ถูกละเลยโดย Primary และบรรจุไว้ซึ่งข้อมูลที่อยู่ในแดนฝัน(dreaming dimension of reality) หรือเรียกว่า Secondary Process ต่อไปจะอธิบายถึงทักษะการหยั่งรู้ที่มีความจำเป็นสำหรับทั้งในการวาดภาพร่างของ Process Structure และใช้ในการเข้าถึงแดนฝัน Sensory-grounded information การค้นหาแบบแผนในการหยั่งรู้ข้อมูลนี้ต้องใช้ second attention(การรับรู้ถึงสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ) เพื่อหา sensory-grouded information ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแดนฝัน sensory-grounded informationนี้จะถูกสื่อสารผ่านช่องทาง(channels)ต่างๆ จะพบในถ้อยคำทั้งที่ชัดเจนและบอกเป็นนัย(both stated and implied) และพบใน paralanguage (ปริภาษา: สิ่งเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับภาษาพูด ได้แก่ โทนเสียง ระดับความดังค่อยของเสียง และจังหวะในการพูด) และจะเห็นได้ชัดที่สุดในสัญญาณจากอวัจนภาษา(nonverbal signals) ได้แก่ ท่าทาง อริยาบถ การเคลื่อนไหว และการแสดงออกทางสีหน้า นอกจากนี้ยังพบได้จากประสบการณ์ส่วนตัวของกระบวนกรเองหรือไม่ก็จากผู้ที่ร่วมสนทนาท่านอื่น ซึ่งก็คือความรู้สึก การโต้ตอบ และประสบการณ์ภายในอื่นๆ แม้แต่ในมณฑล(field)หรือสิ่งแวดล้อมที่ปรากฎตัวขึ้นมาในรูปแบบของเหตุพ้องพาน (Synchronicities) หรือเหตุการณ์อื่นๆอันมีความหมายที่เกิดขึ้นในบริบทของสถานการณ์ต่างๆ ก็เป็นแหล่งของ sensory-grounded information ได้เช่นกัน การแยก Sensory-grounded information ออกจาก primary process การถามคำถามและปฏิสัมพันธ์กับผู้รับการบำบัดเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆของเขา ช่วยให้กระบวนกรได้รับ sensory-grounded information ที่ชัดเจนมากขึ้น กระบวนกรจะเริ่มปรับและพัฒนา Process Structure จาก sensory-grounded information ที่เขามีอยู่ในมือ กระบวนกรอาจถามเพื่อตรวจสอบเพื่อความแน่ใจ(double check) รวมทั้งทำการดึงข้อมูลต่างๆออกมา การฟีดแบ็คกับคำถามช่วยทำให้แผนที่ของกระบวนการชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมๆกับได้ sensory-grounded information เพิ่มขึ้นด้วย การจะให้ได้ภาพใหญ่ทั้งหมดนั้นกระบวนกรจำเป็นต้องมีความอยากรู้อยากเห็นและไม่ลดละในการถามคำถามในแดนฝัน(dreamlike qualities of experience) ด้วยคำถามที่ทำให้เกิด sensory-grounded information ดังอธิบายไว้ในตารางที่3.1 ตารางที่3.1: อธิบายการแยก sensory-grounded information จาก primary process การระบุสัญญาณของ sensory-grounded information นั้นไม่ใช้แค่ฟังสิ่งที่ใครคนหนึ่งพูดเท่านั้น แต่ sensory-grounded information ที่ได้รับมานั้น ต้องมาจากประสบการณ์ตรง โดยอาจใช้คำถามเหล่านี้
พร้อมๆกันนั้นสัญญาณอื่นๆที่มี sensory-grounded information ของ secondary process เกิดขึ้นด้วย เวลาที่เธอพุูดว่า “ไม่ใช่ฉัน” การที่จะดึงเอา sensory-grounded information ออกมาได้นั้นแฮริสสามารถช่วยเธอได้โดยการติดตามร่องรอยเวลาที่เธอรู้สึกแปลกแยกออกไป (เช่น กำหมัดจนแน่น ขบฟัน และกดดันตัวเอง) โดยถามคำถาม เช่น คุณรู้สึกถึงปัญหาการเงินของคุณอย่างไรบ้าง?(How do you experience your money problem?) หรือ อะไรบ้างที่มันเหมือนกับปัญหาการเงิน?(What’s it like to have money troubles?) หรือ ความกังวลนี้ส่งผลอะไรต่อร่างกายคุณบ้าง?(What does this worry do to your body?) โซเฟียอาจตอบโดยอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอด้วยความรู้สึกกดดัน เธออาจตอบว่า “ฉันรู้สึกเหมือนถูกบีบเค้น(I feel squeezed) พร้อมกับการแกว่งมือไปมา กำหมัดแน่นขึ้น ขบฟันของเธอเล็กน้อย) พร้อมกันนั้นเสียงของเธอก็หนักแน่นขึ้น ทั้งหมดนี้คือชิ้นส่วนต่างๆของsensory-grounded information โดยมันจะอธิบายถึงตัวประสบการณ์ตรง มากกว่าจะเป็นแค่แนวคิดหรือการตอบสนองเท่านั้น การได้มาซึ่ง sensory-grounded information การวาดภาพร่างของProcess Structureนี้มี 4 ขั้นตอนในการได้มาซึ่ง sensory-grounded information ดังนี้
การฟัง(Listening) Dreaming Process เป็นประสบการณ์ที่เริ่มต้นเหมือนเป็น “คนอื่น”(other)มันจะพบในคำประมาณว่า “ไม่ใช่ฉัน” เป็นเรื่องของคนอื่น เหตุการณ์อื่น หรืออาการอื่นๆ มันมักจะถูกระบุว่าเป็น “บุคคลที่สาม(third parties) หรือไม่ก็เป็นภาพในฝัน(dream figure)” การฟังถึงคุณภาพ ลักษณะเด่น และกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องของบุคคลที่สามนี้จะเป็นข้อมูลสำหรับ dreaming process ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้รับการบำบัดพูดว่า “ฉันมีปัญหากับหัวหน้าของฉัน” หัวหน้าในที่นี้คือบุคคลที่สามหรือเป็นภาพในฝัน วิธีที่ผู้รับการบำบัดพูดถึงหัวหน้านั้นเป็นการให้ sensory-grounded information ที่เกี่ยวกับภาพในฝัน การที่ผู้รับการบำบัดพูดถึงว่าหัวหน้าของเธอนั้นก้าวร้าว และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่นนั้น เป็นการบอกเป็นนัยว่าพลังงานเช่นนี้คือสิ่งที่ primary process ของเธอได้ถูกละเลยไป ประสบการณ์ตรงของผู้รับการบำบัดที่ถูกระบุว่าเป็น ความยากลำบากใจ สิ่งที่รบกวนใจ หรือไม่ก็อยู่นอกเหนือการควบคุม สิ่งเหล่านี้คือลักษณะของsecondary process บางทีคำว่า ”ฉัน”(I) ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงprimary process ก็ยังสามารถบ่งถึงsecondary process ได้ในบางครั้งเช่นกัน ในฐานะที่เป็นกระบวนกรเราต้องทำการตรวจสอบอีกครั้ง(double check)ว่า “ฉัน” ในที่นี้พูดถึงprimaryหรือsecondary โดยอาจถามว่า “อะไรที่เกิดขึั้นกับบุคคลนั้น?”(What ‘s happening to the person?) ผู้รับการบำบัดนั้นระบุว่าเขาทำอะไร ต้องการอะไร หรือเป็นอะไรบ้าง?(What does my client identify with doing, wanting, or being?) ตัวอย่างเช่น บางคนพูดว่า “วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อย” ประสบการณ์ของคำว่าเหนื่อยนี้ไม่ใช่primaryแต่เป็นsecondary ผู้พูดบอกเป็นนัยว่า”เหนื่อย”นี้เกิดขึ้นกับเขาโดยตรง เขาไม่ได้ระบุว่าความเหนื่อยนี้เกิดขึ้นกับเขา ในทางตรงข้ามเขารู้สึกทรมานกับมัน Ghost(เสียงผี) นั้นฝังอยู่ในdreaming process ซึ่งถูกพบจากสัญญาณของวัจนภาษาและอวัจนภาษา เสียงผีจะเผยตัวให้เห็นได้ทั้งโดยการถูกพูดออกมาและที่ไม่ได้ถูกพูดออกมา รวมทั้งมันก็จะไม่ได้ถูกพูดถึงโดยตรง การมีอยู่ของมันต้องสังเกตจากร่องรอยต่างๆ ของคำพูด ซึ่งพบในโครงสร้างของภาษา เช่น การปฏิเสธ(negations) use of tense and voice การพูดไม่จบประโยค(incomplete sentences) การถามคำถาม(questions) การยกคำพูดคนอื่น(quoting) ร่องรอยจากปริภาษา(paralinguistic clues) Negations(การปฏิเสธ) เสียงผีจะถูกพบในคำปฏิเสธ เมื่อใครเริ่มพูดว่า ไม่ ในบางสิ่งบางอย่างแล้ว มันหมายความว่า มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้วในความคิดของผู้พูด แต่ตอนนี้มันถูกปฏิเสธอยู่ อย่างคำพูดที่ว่า “ฉันรู้สึกดี วันนี้ฉันไม่ได้กระวนกระวายใจจนเกินไป” คำพูดนี้แสดงว่า ความเครียด นั้้นอยู่ในใจผู้พูดแต่เป็นsecondary อีกนัยหนึ่งผู้พูดอาจจะบอกว่า “ฉันสบายดี” หรือ “ฉันกระวนกระวายใจ” ก็ได้ Tense and voice บางทีผู้พูดใช้ประโยค Past Tens(อดีตกาล) อาจหมายถึงบางอย่างได้ถูกปฏิเสธว่ามันเป็นเรื่องราวในอดีต ที่เหมือนจะถูกระลึกได้ในปัจจุบัน ถ้ามีคนพูดว่า “ฉันไม่ได้กระวนกระวายใจ” หมายความว่าเขาไม่ได้รู้สึกแย่เหมือนกับเมื่อวานแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงรู้สึกว่าความสุขของเขาในตอนนี้ ก็ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับความเครียดอยู่ ความเครียดยังคงอยู่ในความตระหนักรู้ของเขาด้วยเหตุผลบางประการ การใช้ประโยค Passive Voice เป็นการแสดงถึง dreaming process เช่น คำพูดที่ว่า “ฉันเบื่อวันเหล่านี้”(I bored these days) เสียงผีในประโยคนี้คือ อะไรก็ตามที่ทำให้ผู้พูดเบื่อ เป็นการแยกแยะกระบวนการของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขา มันอาจมีเสียงผีของความตื่นเต้นหรือไม่ก็ความน่าสนใจที่ผู้พูดอาจจะยังไม่ทันสังเกตเห็น Incomplete statements(การพูดไม่จบประโยค) เสียงผีอาจพบได้เวลาที่พูดแล้วอยู่ๆก็หยุดไปเฉยๆ (holes in the language) ตัวอย่างเช่น “ฉันกลัว”(กลัวอะไร?) “ฉันควรจะอิจฉาให้น้อยลง”(กับใคร? ทำไม? ใครพูด? เปรียบเทียบกับอะไร?) “ฉันมีสติรู้ตัว”(ใครดูอยู่? รู้ตัวในส่วนไหนของตัวตน?) จะพบเสียงผีได้โดยการตอบคำถามเหล่านี้ เช่น เมื่อคนที่บอกว่ามีสติรู้ตัว ถูกถามต่อ เขาพูดว่าเขารู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งที่ไม่ชอบอาการเงียบงันและอาการขี้อายของเขา กำลังมองเขาอยู่ ในกรณีนี้ผู้วิจารณ์ภายในและความขี้อายคือเสียงผี Questions and answers (การถามตอบ) การที่คนเราถามคำถามไม่ว่าจะถามตรงๆหรือถามเป็นนัยๆ ทั้งการตอบสนองต่อคำถามและผู้ตอบคำถามนั้นคือเสียงผี เช่น “ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต”(I just don’t know what to do with my life?) นัยของคำถามที่ว่า “ฉันจะทำอะไรกับชีวิตของฉันดี” (What should I do with my life?) แสดงว่าเขากำลังตัดสินใจจากทางเลือกในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องการใครก็ตามที่มีความคิดหรือข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของเขา การที่เขาพยายามหาทางเลือกอื่นๆ ที่ถูกละเลยจากคำถามเริ่มแรกนั้นเป็นเสียงผี Quoting (การยกคำพูด) การยกคำพูดหรือรายงานผลจากผู้อื่นเป็นการให้เบาะแสของวัจนภาษาที่เกี่ยวกับการปรากฎตัวของเสียงผี เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า “สามีของฉันไม่คิดว่าการบำบัดนั้นช่วยอะไรได้” นี่คือการรายงานความคิดเห็นของคนอื่น และมันยังเป็นการประกาศถึงจุดยืนของเธอด้วยเช่นกัน แม้ว่ามันจะถูกละเลยจากprimary process ทั้งคำพูดที่ยกมา(การบำบัดไม่ช่วยอะไร) และผู้ที่พูดคำพูดนั้น(สามีของเธอ)ต่างก็เป็นเสียงผี Paralinguistic clues (ร่องรอยจากปริภาษา) เสียงผียังถูกพบจากร่องรอยของปริภาษาได้เช่นกัน ซึ่งรวมถึงโทนเสียง (เช่นการถากถาง) และเสียงที่ไม่มีความหมาย เช่น หายใจแรง(snorts) tsks ถอนหายใจ(sighs) ทั้งหมดนี้สื่อถีงเสียงผี เป็นเหมือนความเห็นที่ซ่อนอยู่ คำตัดสิน และเป็นการแปลกแยกของความรู้สึกและทัศนคติ ตัวอย่างเช่นผู้หญิงที่พูดว่าสามีของเธอไม่คิดว่าการบำบัดจะได้ผล เธอยังถอนหายใจไปด้วยขณะที่พูด การถอนหายใจนี้สื่อถึงความเห็นของเธอที่ไม่ตรงกันกับสามีของเธอ หรือไม่ก็เป็นความสิ้นหวังในการที่เขาไม่สนใจในตัวเธอ การมอง (Looking) Sensory-grounded information ส่วนมากจะได้มาจากการสังเกตสัญญาณของอวัจนภาษา ร่างกายเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญของ dreaming information โดยสื่อสารออกมาจาก การตอบสนองของร่างกาย(somatic replies) อริยาบถ(gestures) การเคลื่อนที่(movements) ท่าทาง(postures) และสัญญาณอวัจนภาษาอื่นๆ ในบางกรณีที่ผู้รับการบำบัดไม่อาจสื่อสารด้วยภาษาได้ เช่น ผู้ป่วยโคม่า หรือช็อค ข้อมูลจากอวัจนภาษาจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุด Somatic replies(การตอบสนองทางร่างกาย) การตอบสนองทางร่างกายหรืออวัจนภาษา ที่มีต่อคำถาม จัดว่าเป็นสัญญาณในแดนฝันที่มีความสำคัญมาก ยิ่งถ้ามันไม่สอดคล้องกับprimaryที่ผ่านการใช้ภาษาด้วยแล้ว มันจะเกิดขึ้นนอกเหนือจากการรู้ตัวของผู้พูด เช่นถ้ากระบวนกรถามว่า “สบายดีไหม?” (How are you?) “วันนี้เราจะทำอะไรกันดี?” (What shall we do today?) ผู้รับการบำบัดมักจะส่งอวัจนภาษากลับมา โดยเธอมักจะตอบเป็นภาษาท่าทางกลับมาพร้อมกับคำตอบของเธอ (เช่น การหายใจ แววตา การแกว่งตา การยืดตัว) ซึ่งมันจะเป็นข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจไปในทางเดียวกันหรือตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอพูดก็ได้ Physical extremities (สารจากส่วนปลายสุดของร่างกาย) ส่วนปลายของร่างกาย โดยเฉพาะ มือ นิ้วมือ นิ้วเท้า และขา เป็นแหล่งสำคัญของสัญญาณอวัจนภาษา การขยับส่วนปลายสุดของร่างกายจะอยู่นอกเหนือการรับรู้ปกติ และส่วนใหญ่จะเป็น secondary รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้าก็อยู่นอกเหนือการรับรู้ปกติด้วย เช่น หน้าเปลี่ยนสี(skin coloration) การขยายต้วของหน้า(swelling) น้ำตา(watering of the eyes) การสั่นไหว(quiverng) การกะพริบตา(blinking) และการเคลื่อนที่ของฟัน ริมฝีปาก และลำคอ Movement and posture (การเคลื่อนไหวและท่าทาง) สัญญาณจากการเคลื่อนไหว ซึ่งรวมถึงท่าทางที่ถึงแม้จะไม่เคลื่อนไหวก็ตาม จัดเป็นแหล่งของ sensory-grounded information ที่สำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภท ดังนี้
Movement ghost (ภาษาท่าทางของเสียงผี) เช่น บางคนเหยียดตัวนั่นเพราะต้องการเหยีดตัวเพื่อสู้กับความรู้สึกที่ถูกจำกัดหรือไม่ก็อยู่ในภาวะตึงเครียด ถ้าใครเอนตัวไปข้างหลัง กำแพงหรือพนักเก้าอี้ที่เธอเอนหลังไปโดนนั่นคือเสียงผี(ghost) ซึ่งเป็นประสบการณ์ secondary ที่ช่วยเหลือในการแบ่งเบาภาระของเธอ ถ้าบางคนนอนขดตัวเขม็งอยู่บนพื้น นั่นคือเธอต้องการหลุดออกมาจากอะไรบางอย่าง อาจเป็นการคิดลบ ความรู้สึกกดดัน หรืออะไรที่น่ากลัว การที่กระบวนกรสนใจจนเกินไปอาจรบกวนการสื่อสารของสัญญาณในแดนฝันได้ วิธีที่ช่วยได้มากคือการที่กระบวนกรจะสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นถ้ากระบวนการหยุดสนใจผู้รับการบำบัดเป็นการชั่วคราว เช่น เหม่อลอย มองลงต่ำ เป่าลมออกทางจมูก หรือเปิดหน้าต่าง แล้วผู้รับการบำบัดมองต่ำ หายใจ ถอนหายใจ ปิดตา หรือเหยียดตัวบ้างไหม? มีสัญญาณอะไรเกิดขึ้นบ้างเวลาที่กระบวนกรหยุดสนใจไปชั่วคราว? ตารางที่3.2: คำแนะนำในการสังเกตสัญญาณอวัจนภาษาจากการเคลื่อนไหว การฝึกฝนการสังเกตสัญญาณอวัจนภาษาจากการเคลื่อนไหวนั้นต้องถามตัวเองว่า
Dreaming Process ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ มันคือปรากฎการณ์แห่งมณฑล(field phenomena) สัญญาณจะถูกพบได้จากประสบการณ์และพฤติกรรมของทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในสิ่งแวดล้อม(environment) บรรยากาศ(atmospheres) และในเหตุการณ์ที่มีความหมาย เช่น เหตุพ้องพาน(synchronicities) จากการรับรู้ส่วนตัวของกระบวนกรก็เป็นการเข้าถึง sensory-grounded information เช่นเดียวกับในกระบวนการของผู้รับการบำบัด กระบวนกรสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้โดยสังเกตจาก ความรู้สึกส่วนตัว ประสบการณ์ส่วนตัว หรืออารมณ์ และการเช็คกับท่าทางของร่างกาย การแสดงออกทางสีหน้า และสัญญาณซ้อนกระบวนกรเอง Field phenomena(ปรากฎการณ์แห่งมณฑล) เช่น การขัดจังหวะ การถูกรบกวน หรือเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ดังในตัวอย่างนี้ที่จูลี่อธิบายถึงเหตุพ้องพานที่เกิดขึ้นขณะที่เธอกำลังคุยโทรศัพท์กับผู้รับการบำบัด ในระหว่างที่ผู้รับการบำบัดกำลังทำงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างเธอกับเพื่อน กระบวนกรจับสังเกตตนเองได้ว่าไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับอารมณ์ของผู้รับการบำบัด กระบวนกรลองเช็คกับตนเองดูว่ามันเกิดขึ้นที่ไหนและตอนไหน กระบวนกรถามตัวเองว่าความรู้สึกที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับสัญญาณใดของผู้รับการบำบัด กระบวนกรตระหนักได้ว่าเสียงของผู้รับการบำบัดนั้นเจ็บปวดและโทนเสียงก็ดูมีอารมณ์ ผู้รับการบำบัดบ่นว่าเพื่อนของเธอนั้นยุ่งเกินไปและไม่มีเวลาที่จะมาพบเธอ กระบวนกรสังเกตได้ว่าความรู้สึกที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับผู้รับการบำบัดนั้นเหมือนว่ากระบวนกรได้กลายเป็นเพื่อนของผู้รับการบำบัดไปเสียแล้ว กระบวนกรได้ “รับเอา” (picking up) บทบาทของเพื่อนมาไว้กับตนเองแล้ว และในตอนนั้นเองสัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปด้วย แล้วเมื่อผู้รับการบำบัดโทรกลับมากระบวนกรได้กล่าวถึงการไม่เชื่อมโยง(disconnection) ทั้งของเพื่อนและสายโทรศัพท์ และทันใดนั้นเองผู้รับการบำบัดก็พูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว นั่นคือปัญหาของฉันในเรื่องนี้! เธอเหินห่าง(detached)ฉันไป ฉันทำงานเรื่องนี้อยู่ ฉันรู้สึกหมดหวังอย่างสิ้นเชิงในเรื่องนี้ และฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม” เมื่อผู้รับการบำบัดพูดถึงเรื่องนี้แล้วความรู้สึกที่ไม่เชื่อมโยงของกระบวนกรก็หายไป ตอนนี้กระบวนกรรู้แล้วว่าต้องสนใจว่าผู้รับการบำบัดต้องทำงานตอนที่เธอรู้สึกว่าไม่มีใครรัก แทนที่จะสนใจแต่เรื่องความขัดแย้งในความสัมพันธ์ ตารางที่3.3: การค้นหา sensory-grounded information 1. ภาษาพูด(Language)
การเชื่อมโยง (Linking) กระบวนการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดจากการฟัง การมอง และการรับรู้ นี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการได้มาซึ่งภาพร่างของprocess structure การเชื่อมโยงทั้งหมดนี้เกี่ยวพันถึงการหากลุ่มของสัญญาณ(clusters of signals) ที่มีคุณภาพของพลังงานและการอธิบายที่ร่วมกัน กลุ่มของสัญญาณนี้ถูกสร้งมาจากสัญญาณทั้งจากวัจนภาษาและอวัจนภาษา ที่เป็นของภาพในฝัน(dream figure) และบุคคลทีสาม(third party) จากตัวอย่างก่อนหน้าของจูลี่ ตอนที่กระบวนกรคุยโทรศัพท์กับผู้รับการบำบัด กลุ่มของสัญญาณจะมีสองกลุ่ม คือ “กลุ่มของผู้รับการบำบัดเอง”(client cluster) ซึ่งถูกพบจากสัญญาณในคำพูดของผู้รับการบำบัด (“หงุดหงิด” “เจ็บปวด” และ “โกรธ”) และสัญญาณจากปริภาษา(paralanguage) (โทนเสียงทีสูงขึ้น) อีกกลุ่มหนึ่งคือ “กลุ่มที่พูดถึงเพื่อน” (friend cluster) ซึ่งถูกพบจากสัญญาณในคำพูดของผู้รับการบำบัด (“เย็นชา” “ห่างเหิน” และ “ไม่สนใจใยดี”) รวมทั้งพบจากสัญญาณจากบรรยากาศ(atmospheric signals) (การที่กระบวนกรประสบกับความรู้สึกไม่เชื่อมโยง) และในเหตุพ้องพานที่เกิดขึ้นกับการที่โทรศัพท์สายหลุดไป ตารางที่3.4: คำแนะนำสำหรับการเชื่อมโยง
ที่มา: จากหนังสือ A Path Made by Walking บทที่2 Basic Concepts in Process Work โดย Julie Diamond และ Lee Spark Jones ตามอ่านบทที่3.3 ได้ใน http://voyagetothesource.weebly.com/blog/-a-path-made-by-walking-3-mapping-the-process-33
0 Comments
Leave a Reply. |